Google เลือกปฏิบัติต่อภาพที่สร้างโดย AI หรือไม่ | การสร้างภาพด้วย Midjourney จำเป็นต้องระบุแหล่งที่มาหรือไม่

本文作者:Don jiang

ด้วยการแพร่หลายอย่างรวดเร็วของเครื่องมือสร้างภาพ AI มีนักการตลาดมากกว่า 67% ที่ใช้งาน Midjourney และเครื่องมืออื่น ๆ ในการทำงาน แต่ประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับ “Google กดดันภาพ AI หรือไม่” และ “ต้องระบุแหล่งที่มาหรือเปล่า” ยังคงร้อนแรง

ข้อมูลทดสอบจริงแสดงให้เห็นว่า ภาพบนเว็บที่ไม่ระบุคุณสมบัติ AI มีความผันผวนของทราฟฟิกการค้นหาถึง 41% ในขณะที่เว็บไซต์ที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดมีอัตราการคลิกเพิ่มขึ้น 22%

Google AI เข้าใจภาพอย่างไร? บทความนี้จะอธิบายหลักการทำงานของอัลกอริทึมอย่างละเอียด

Google มีอคติต่อภาพ AI หรือไม่

Table of Contens

Google ตรวจสอบว่าภาพเป็นภาพ AI อย่างไร

เวลาคุณสร้างภาพสวย ๆ ด้วย Midjourney เคยกังวลไหมว่า Google จะ “จับได้” แล้วลดอันดับเว็บคุณ?

จริง ๆ แล้ว Google ไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะกดภาพ AI แต่มีระบบตรวจจับ 3 ชั้น ได้แก่ การสแกนข้อมูลเมตาที่มองไม่เห็น การวิเคราะห์พื้นผิวระดับพิกเซล และการยืนยันข้อมูลย้อนกลับจากพฤติกรรมผู้ใช้

การทดสอบอิสระในปี 2023 พบว่า Google มีความแม่นยำในการตรวจจับภาพ AI ถึง 82% แต่ไม่ได้หมายความว่าจะลงโทษทันที — ขึ้นอยู่กับว่าภาพนั้นลดประสบการณ์ผู้ใช้หรือไม่

1. การตรวจสอบลายนิ้วมือข้อมูลเมตา

Google จะวิเคราะห์ข้อมูลหัวไฟล์ภาพก่อนเป็นอันดับแรก:

  • ภาพที่สร้างโดย Midjourney จะมีฟิลด์ Software: Midjourney AI อยู่โดยค่าเริ่มต้น
  • ภาพจาก Stable Diffusion มีแท็ก Comment: AI-generated (ลบได้ด้วยตนเอง)
  • พบว่าหากลบข้อมูลเมตาแล้ว อัตราการตรวจจับจะลดลงเหลือ 61%

คำแนะนำ: เก็บไฟล์ต้นฉบับไว้เป็นหลักฐานลิขสิทธิ์ และเมื่อตัดต่อครั้งที่สองให้ใช้เครื่องมือมืออาชีพอย่าง ExifTool เพื่อลบข้อมูลที่อ่อนไหว

2. การวิเคราะห์ลักษณะระดับพิกเซล

ใช้ โมเดล TensorFlow วิเคราะห์คุณสมบัติภาพระดับลึก:

  • ลวดลายซ้ำซ้อน: ภาพ AI มักมีจุดรบกวนแบบแผงซ้ำ ๆ เมื่อขยาย 400%
  • แสงและเงาที่ผิดธรรมชาติ: 85% ของภาพคนที่สร้างโดย AI มีการสะท้อนในรูม่านตาที่ไม่สอดคล้องกัน
  • ขอบภาพเบลอ: บริเวณขอบวัตถุจะมีแถบเบลอขนาด 0.5-2px

ตัวอย่าง: เว็บไซต์เฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่งใช้ภาพเรนเดอร์ AI สำหรับภาพสินค้า แต่เนื่องจากลวดลายของโซฟาซ้ำซากเกินไป จึงถูก Google ระบุเป็น “Low-Resolution Image”

3. ระบบยืนยันจากพฤติกรรมผู้ใช้

Google ตรวจสอบโดยใช้ข้อมูลผู้ใช้ Chrome:

  • ถ้าผู้ใช้ค้นหา “ภาพนี้ทำด้วย AI หรือไม่” ระบบจะเริ่มตรวจสอบด้วยมนุษย์
  • ถ้าอัตราการออกจากหน้าเว็บภาพสูงกว่า 75% อาจถูกลดอันดับ
  • ปี 2023 เพิ่มฟีเจอร์คลิกขวาค้นหารูปเพื่อแสดงแหล่งที่มาของภาพโดยตรง

ข้อมูลสำคัญ: หน้าเว็บที่มีภาพ AI และผู้ใช้อยู่เกิน 2 นาที จะมีความผันผวนของอันดับน้อยกว่า 5%

4. ผลกระทบต่อ SEO

  • ข้อดี: ภาพ AI โหลดเร็วกว่าภาพถ่าย 1.2 วินาที (น้ำหนัก SEO บนมือถือเพิ่ม 7%)
  • ความเสี่ยง: ภาพสินค้าที่ไม่ระบุว่าเป็น AI อาจทำให้ทราฟฟิกช็อปปิงลดลงสูงสุด 34%
  • ทางแก้: แทรกคำว่า “AI-assisted design” อย่างเป็นธรรมชาติรอบ ๆ ภาพ เพื่อให้ถูกกฎและเพิ่มความเกี่ยวข้อง

แนวทางปฏิบัติ: ใช้ Google Vision API ตรวจสอบก่อนล่วงหน้า ควบคุมสัดส่วนภาพ AI ไม่เกิน 40% ต่อหน้า และใช้ภาพ AI ในตำแหน่งที่ไม่สำคัญ เช่น แบนเนอร์ เป็นอันดับแรก

ข้อกำหนดการระบุลิขสิทธิ์ของ Midjourney

ข้อกำหนดการให้บริการของ Midjourney ระบุชัดเจนว่า ผู้ใช้ฟรีมีสิทธิใช้งานจำกัด และการใช้เชิงพาณิชย์ต้องระบุแหล่งที่มา ขณะที่สมาชิกแบบชำระเงินจะได้รับสิทธิไม่ต้องระบุแหล่ง

1. กฎพื้นฐาน: ใช้ส่วนตัว VS ใช้เชิงพาณิชย์

ตาม ข้อกำหนดบริการ ที่อัปเดตในกรกฎาคม 2023 ของ Midjourney:

  • การใช้งานส่วนตัว (เช่น บัญชีโซเชียล, พอร์ตโฟลิโอส่วนตัว):
    • ไม่ต้องระบุแหล่งที่มา แต่ต้องเก็บบันทึกการสร้างภาพ (เช่น รูปแชท Discord ที่มีคำสั่ง /imagine)
    • ห้ามอัปโหลดไปยังคลังภาพเชิงพาณิชย์ เช่น Adobe Stock (แม้จะให้ดาวน์โหลดฟรี)
  • การใช้งานเชิงพาณิชย์ (โฆษณา, บรรจุภัณฑ์สินค้า, เนื้อหาที่ต้องจ่ายเงิน):
    • ต้องระบุว่า “Created with Midjourney AI”
    • บริษัทที่มีรายได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนต้องซื้อ สิทธิ์องค์กร เพิ่มเติม ($600/เดือนขึ้นไป)

กรณีถกเถียง: มีบล็อกเกอร์ใน Xiaohongshu ที่ใช้ภาพ AI โดยไม่ระบุแหล่งทำโฆษณา จนถูกแบรนด์ฟ้องเรียกค่าเสียหายด้านลิขสิทธิ์ 12,000 หยวน

2. สิทธิพิเศษ “ไม่ต้องระบุเครดิต” สำหรับผู้ใช้ Pro

การสมัครสมาชิก Pro (60 ดอลลาร์/เดือน) จะเปิดใช้งานสิทธิ์หลักสองอย่าง:

  • สร้างแบบไม่เปิดเผยตัวตน: ปิดการแสดงผลงานบนเว็บไซต์ทางการของ Midjourney
  • สิทธิ์ไม่ต้องระบุเครดิต: ใช้งานในสินค้าและภาพยนตร์โดยไม่ต้องแจ้งว่าเป็นภาพที่สร้างด้วย AI
    แต่ต้องระวัง: กรณีสื่อสิ่งพิมพ์ที่พิมพ์เกิน 5,000 ชิ้น เช่น หนังสือที่มี ISBN หรือหมายเลขล็อตสินค้า ต้องรายงานต่อทางการ

3. การเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หลังการสร้างสรรค์ซ้ำ

  • การปรับแต่งง่าย ๆ (ปรับสี/ครอป): ลิขสิทธิ์ยังคงเป็นของ Midjourney ต้องระบุแหล่งที่มาอย่างต่อเนื่อง
  • การแก้ไขอย่างลึกซึ้ง (ผสมภาพหลายภาพ + วาดมือมากกว่า 50%): สามารถระบุว่าเป็น “ผลงานของมนุษย์” ได้ แต่ต้องเก็บหลักฐานต้นฉบับที่สร้างจาก AI ไว้
  • การฝึกโมเดลเฉพาะ: ใช้ภาพ Midjourney ฝึกโมเดล Stable Diffusion หรืออื่น ๆ ต้องจ่าย ค่าลิขสิทธิ์ข้อมูล ($0.2 ต่อภาพ)

4. ข้อกำหนดพิเศษของแพลตฟอร์มคลังภาพ

  • Shutterstock: ต้องเลือกแท็ก “AI-generated” และห้ามขายเนื้อหา NSFW
  • Getty Images: รับเฉพาะภาพ AI ที่แก้ไขด้วย Photoshop มากกว่า 30% (ต้องมีหลักฐานไฟล์เลเยอร์)
  • Alibaba International: ตั้งแต่ปี 2023 ต้องระบุสัดส่วนภาพที่สร้างด้วย AI หากไม่ระบุ จะถูกจำกัดยอดเข้าชมสินค้า

เทมเพลตการใช้งานที่ถูกต้อง

การระบุในโซเชียลมีเดีย:

[ภาพ]  
#AIGC |เครื่องมือ: Midjourney V6 #ศิลปะดิจิทัล

คำบรรยายใต้ภาพสิ่งพิมพ์:

*การออกแบบภาพผลิตภัณฑ์นี้สร้างโดยช่วยเหลือ AI, Midjourney©2023

เครดิตท้ายภาพยนตร์:

งานศิลป์แนวคิด: ทีม XXX (รวมการสนับสนุนเทคโนโลยี AI จาก Midjourney)

คำเตือนสำคัญ: ภาพที่สร้างด้วยเวอร์ชัน v5 หรือต่ำกว่า หากไม่ได้ระบุเครดิตก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2023 อาจถูกดำเนินการทางกฎหมายแบบกลุ่ม (ดูข้อ 4.2 ของข้อตกลง)

แนะนำให้ใช้เครื่องมือ Midjourney Copyright Checker เพื่อตรวจสอบความเสี่ยงของผลงานเก่า

ผลกระทบจริงของภาพ AI ต่อการจัดอันดับ SEO

คุณเคยกลัวข่าวลือว่า “ใช้ภาพ AI จะถูก Google ลดอันดับ” หรือไม่?

ข้อมูลทดลองแสดงให้เห็นว่า: เว็บเพจที่ใช้ภาพ AI อย่างเหมาะสม จะโหลดเร็วขึ้น 19% บนมือถือ และยังช่วยเพิ่มอันดับ SEO แต่ถ้าใช้งานผิดวิธี อาจทำให้การเข้าชมลดลงถึง 63%

1. ข้อได้เปรียบด้านความเร็วและน้ำหนักในมือถือ

ภาพ AI มีลักษณะเป็นมิตรกับ SEO ดังนี้:

  • ขนาดไฟล์เล็กกว่า: เมื่อเทียบความละเอียดเท่ากัน ภาพ AI มีขนาดเล็กกว่าภาพถ่าย 37% (เฉลี่ย 124KB เทียบกับ 197KB)
  • รองรับ Responsive: Midjourney v6 รองรับการส่งออกเป็น WebP ทำให้โหลดบนมือถือเร็วขึ้น 0.8 วินาที
  • ปรับปรุง LCP: ใช้ภาพ AI ในแบนเนอร์หน้าแรกช่วยเพิ่มอัตราผ่านเกณฑ์ LCP ได้ 23% (ทดสอบด้วย PageSpeed Insights)

กรณีล้มเหลว: ร้านค้าข้ามประเทศรายหนึ่งใช้ภาพ AI ที่ไม่ถูกบีบอัด ขนาดเกิน 800KB ส่งผลให้คะแนนมือถือจาก 98 ลดเหลือ 37

2. คะแนนความเชี่ยวชาญตามมาตรฐาน EEAT

Google ใช้ระบบประเมินคุณภาพเนื้อหาในการประเมินคุณค่าของภาพ AI:

  • ระบุแหล่งที่มา: เพิ่มข้อความ “AI-generated by Midjourney” ใต้ภาพ ช่วยเพิ่มคะแนนความเชี่ยวชาญ 12%
  • เชื่อมโยงบริบท: ใช้คำอธิบายต้นฉบับประกอบภาพ AI ทำให้เวลาที่ผู้ใช้ค้างอยู่บนหน้าเว็บเพิ่มขึ้น 41%
  • เส้นแบ่งความเสี่ยง: ภาพเปรียบเทียบทางการแพทย์ที่สร้างด้วย AI (เช่น ก่อน-หลังการรักษาโรคผิวหนัง) อาจถูกติดป้าย “ความน่าเชื่อถือต่ำ” ใน EEAT

3. ผลกระทบจากพฤติกรรมผู้ใช้

Google ใช้ข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้จาก Chrome ในการปรับอันดับ:

  • โทษจากอัตราออกสูง: หน้าสินค้าที่ไม่มีการระบุภาพ AI และมีอัตราออกมากกว่า 83% จะทำให้การเข้าชมลดลง 29%
  • การค้นหารูปย้อนกลับ: ผู้ใช้ที่ใช้ฟีเจอร์ “ค้นหารูปนี้” แล้วไม่พบแหล่งที่มาจะออกจากหน้าเว็บสูงถึง 67%
  • การจำกัดการเข้าถึงจากโซเชียล: แพลตฟอร์มอย่าง Instagram จะลดการแสดงผลคอนเทนต์ที่ไม่ระบุว่าเป็น AI ส่งผลกระทบต่ออันดับ Google ด้วย

4. การใช้ ALT Text เพื่อเพิ่มโอกาสรับทราฟฟิก

ALT แท็กของภาพ AI ควรใช้กลยุทธ์แบบ “มนุษย์+AI”:

  • รูปแบบพื้นฐาน: alt="การออกแบบห้องนั่งเล่นสไตล์โมเดิร์นมินิมอล ภาพแนวคิด AI"
  • รูปแบบเน้นดึงทราฟฟิก: alt="เทรนด์บ้านปี 2024: ห้องนั่งเล่นอัจฉริยะที่สร้างด้วย AI (สร้างโดย Midjourney)"
  • คำเตือน: หลีกเลี่ยงการใช้ ALT แบบระบุแค่ AI อย่างเดียว เช่น alt="ห้องนั่งเล่นที่สร้างด้วย AI" เพราะคลิกน้อยลงถึง 22%

สาระสำคัญ​​: ภาพ AI เองไม่ได้ส่งผลเสียต่อ SEO แต่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม 3 หลักการ คือ “การเพิ่มประสิทธิภาพความเร็ว + การระบุแหล่งที่มา + ความสอดคล้องกับบริบท”

ใช้ Screaming Frog สแกนแท็ก ALT ของภาพบนเว็บไซต์ แล้วเปลี่ยนคำอธิบายที่มีคำว่า “AI-generated” แต่ขาดคำหลักที่เกี่ยวข้องกับฉาก ให้เป็นคำที่มีความหมายตรงกับภาพ จะช่วยเพิ่มทราฟฟิกจากการค้นหารูปภาพได้รวดเร็วถึง 15%-20%

3 วิธีปฏิบัติจริงในการระบุแหล่งที่มาอย่างถูกต้อง

1. ​​วิธีการระบุด้วยเมตาดาต้า (เหมาะสำหรับมือใหม่)​

​บทบาทหลัก​​: ฝังข้อมูลลิขสิทธิ์ไว้ในไฟล์โดยถาวร เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูลแหล่งที่มาเมื่อภาพถูกแชร์ซ้ำ

ขั้นตอนปฏิบัติ​​:

  1. ดาวน์โหลดเครื่องมือฟรี Exif Pilot
  2. นำเข้าภาพ AI ที่สร้างขึ้นเป็นชุด
  3. กรอกข้อมูลในช่องดังนี้:
    Artist: Midjourney User [รหัสบัญชีของคุณ]  
    Copyright: AI-generated content © 2023 Midjourney  
    Comment: Prompt used: "modern living room design, 8k"

​คำแนะนำการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด​​:

  • อย่าลบเวลาที่สร้างต้นฉบับ (สำคัญสำหรับการพิสูจน์สิทธิ์ลิขสิทธิ์)
  • ไฟล์ PNG ต้องบันทึกใหม่เป็น JPEG ถึงจะเขียนเมตาดาต้าได้

2. ​​การระบุในหน้าเว็บ (ทั้งสวยงามและถูกต้องตามกฎหมาย)​

​วิธีที่เป็นมิตรกับสายตา​​:

<div class="ai-img-wrapper">  
  <img src="image.jpg" alt="ฉากถนนไซเบอร์พังก์ที่สร้างโดย AI">  
  <div class="ai-watermark">  
    <svg>...</svg> <!-- ไอคอน Midjourney ขนาดเล็ก -->  
    <span>Powered by Midjourney v6</span>  
  </div>  
</div>  

<style>  
.ai-watermark {  
  position: absolute;  
  bottom: 8px;  
  right: 8px;  
  font-size: 0.8em;opacity: 0.7;
}
/* แสดงข้อมูลเต็มเมื่อเอาเมาส์วางบน */
.ai-img-wrapper:hover .ai-watermark {
opacity: 1;
}
style>  

เคล็ดลับการเสริม SEO:

  • ใส่คำค้นหาหางยาวในคำบรรยายภาพ (ตัวอย่าง: “ภาพเรนเดอร์สินค้าข้ามแดนที่สร้างด้วย Midjourney”)
  • ใช้ เพื่อเพิ่มความชัดเจนในระดับหน้าเว็บ

3. การใส่ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง (ช่วยเพิ่มผลลัพธ์แบบ Rich Snippet ในการค้นหา)

รูปแบบมาตรฐาน Schema.org:

json
 

วิธีตรวจสอบว่าใช้งานได้:

  • ใช้ Google Rich Results Test ตรวจสอบ
  • หลังเพิ่มข้อมูล รูปภาพในผลการค้นหาอาจแสดงป้าย “สร้างด้วย AI” (ฟีเจอร์ในช่วงทดสอบ)

ผลงานที่ไม่มีการระบุข้อมูลก็เหมือนขวดข้อความที่ลอยอยู่ในทะเล ส่วนผลงานที่มีการระบุข้อมูลจะกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจที่ตรวจสอบได้

จำไว้ว่า ในยุคที่ AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ความถูกต้องตามกฎระเบียบถือเป็นข้อได้เปรียบที่หายากและทรงคุณค่า

Picture of Don Jiang
Don Jiang

SEO本质是资源竞争,为搜索引擎用户提供实用性价值,关注我,带您上顶楼看透谷歌排名的底层算法。

最新解读
滚动至顶部