CTR ปกติของ Google คือเท่าไร丨ต่ำกว่า 1% ควรเปลี่ยนหัวเรื่องไหม

本文作者:Don jiang

เมื่อทำ SEO บน Google สิ่งที่หลายคนสงสัยคือ “CTR ของเรามันปกติไหมนะ?”

บางคนบอกว่า “CTR ไม่ถึง 1% ต้องรีบเปลี่ยนหัวข้อด่วน!” บางคนก็บอก “มันขึ้นอยู่กับแต่ละวงการนะ ต้องเทียบกันดู” ฟังแล้วสับสนใช่ไหมล่ะ?

บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงโดยไม่จำเป็น และใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า

CTR โดยเฉลี่ยของ Google อยู่ที่เท่าไหร่?

Table of Contens

ความหมายพื้นฐานของ CTR และวิธีคำนวณ

“CTR ต่ำ เปลี่ยนหัวข้อเลย!” – หลายคนมักมีปฏิกิริยาแบบนี้ทันที แต่จริงๆ แล้วกลับไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร

ใช้เวลาแค่ 3 นาที เราจะเข้าใจตัวชี้วัดนี้อย่างถูกต้อง

1. CTR ไม่ใช่เรื่องลี้ลับ แค่วิชาคณิตเบื้องต้น

สูตรง่ายๆ คือ: CTR = จำนวนคลิก ÷ จำนวนการแสดงผล × 100%
เช่น ถ้าแสดงผล 100 ครั้ง แล้วมีคนคลิก 2 ครั้ง CTR คือ 2%

แต่หลายคนมักเข้าใจผิดเรื่อง “จำนวนการแสดงผล” เช่น:

  • การแสดงผล ≠ จำนวนคนเข้าเว็บไซต์
  • การแสดงผล = จำนวนครั้งที่หน้าเพจของคุณปรากฏในผลการค้นหา แม้จะยังไม่ถูกเลื่อนขึ้นมาก็ตาม

2. CTR ของผลลัพธ์ธรรมชาติกับโฆษณา ต่างกันมาก

ผลลัพธ์ธรรมชาติ (Organic): ผู้ใช้ค้นหาเอง CTR เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5%–3%

อันดับ 1 อาจได้เกิน 25% แต่ อันดับ 10 ต่ำกว่า 0.5%

โฆษณา: เป็นการแสดงผลแบบไม่สมัครใจ CTR เฉลี่ยอยู่ที่ 3–10% (Shopping Ads สูงกว่านี้)

แต่ CTR สูงไม่ได้แปลว่ามีคุณภาพ เช่น คำค้น “มือถือ” อาจมีคลิกเยอะ แต่คนยังไม่พร้อมซื้อ

3. CTR แค่ 0.8% แย่ไหม? – ต้องดู 3 ปัจจัยประกอบ

ตำแหน่งการแสดงผล: CTR 1% ที่อันดับ 5 ถือว่าโอเค แต่ถ้าอยู่อันดับ 1 แล้วยังแค่ 1% นั่นแย่

ประเภทของคีย์เวิร์ด:

  1. คีย์เวิร์ดแบรนด์ เช่น “Nike แท้” CTR อาจสูงถึง 5–10%
  2. คีย์เวิร์ดยาว เช่น “วิธีเลือกรองเท้าวิ่ง” CTR ทั่วไป 0.5–2%

อุปกรณ์ที่ใช้:

บนมือถือ หัวข้อมักถูกตัด ทำให้ CTR ต่ำกว่าบนคอมประมาณ 10–20% เช่น “รวมมือถือปี 2023…” บนมือถืออาจเห็นแค่ “รวมมือถือปี…”

เกณฑ์ CTR ที่เหมาะสมในแต่ละกรณี

“คนอื่นได้ 5% แต่เรามีแค่ 0.6% เราแย่ไหม?” – ใจเย็นก่อน! เหมือนการเปรียบเทียบร้านฟาสต์ฟู้ดกับร้านหรูที่ใช้มาตรฐานเดียวกัน มันเทียบไม่ได้

1. การจัดอันดับคือหัวใจของ CTR ใน Organic (อ้างอิง: Ahrefs 2023)

  • อันดับ 1: CTR เฉลี่ย 27.3%
  • อันดับ 2–3: ลดเหลือประมาณ 15%
  • อันดับ 4–10: 2–5%
  • ต่ำกว่าอันดับ 10: 0.3–1%

ตัวอย่าง: บทความ “วิธีเลือกเมล็ดกาแฟ” ได้อันดับ 1 CTR อยู่ที่ 22% แต่พอตกไปอันดับ 4 เหลือแค่ 4%

2. CTR แตกต่างตามประเภทของโฆษณา

โฆษณาค้นหา: CTR เฉลี่ย 3.1% (ตาม Google Ads)

  1. สินค้าออนไลน์ เช่น “รองเท้าลดราคา” CTR 5–8%
  2. บริการ B2B เช่น “ระบบ ERP สำหรับองค์กร” มักได้แค่ 1–3%

Shopping Ads: แสดงภาพ ทำให้ CTR สูง เฉลี่ย 9.6%

3. มือถือ vs พีซี: หัวข้อถูกตัด CTR ร่วงหนัก

  • พีซี: หัวข้อแสดงได้ 50–60 ตัวอักษร CTR ดีกว่า
  • มือถือ: เกิน 32 ตัวอักษรจะถูกตัด (…) CTR อาจลดลงเกิน 30%

เคสทดลอง: หัวข้อ “10 หูฟังปี 2023 ที่คุ้มค่าที่สุด” ปรับเป็น “รีวิวหูฟัง TOP10 ปี 2023” CTR บนมือถือพุ่งจาก 0.8% → 1.5%

4. วงการต่างกัน CTR ก็แตกต่าง

  • หน้าสินค้า: 1.5% ถือว่าใช้ได้ (เพราะคนเปรียบเทียบเยอะ)
  • บล็อก How-to: ทั่วไป 3–5% (เนื้อหาตอบโจทย์)
  • เว็บ B2B: CTR 0.5–1% ก็ถือว่าปกติ (คนตัดสินใจนาน)

CTR ต่ำกว่า 1% แก้ยังไงดี?

“CTR ไม่ถึง 1% เปลี่ยนหัวข้อด่วน!” – คำแนะนำแบบนี้อาจทำให้สถานการณ์แย่ลง

ต้องวิเคราะห์สาเหตุจริงๆ ก่อนจะแก้ไข

1. 3 จุดพลาดที่มักเจอในหัวข้อ (พร้อมตัวอย่าง)

พลาดข้อแรก: หัวข้อโดนตัด

  1. ยาวเกิน 32 ตัวอักษรบนมือถือ: เห็นแค่ “รองเท้าวิ่งแนะนำปี 2023…” แต่ไม่รู้ว่าดีอย่างไร → CTR ลดครึ่ง
  2. วิธีแก้: ใช้ SERP simulator ตรวจสอบการแสดงผลล่วงหน้า

พลาดข้อสอง: ยัดคำคีย์เวิร์ดเยอะเกิน

  1. ตัวอย่างไม่ดี: “SEO | SEO เว็บ | เทคนิค SEO 2023” → ดูสแปม
  2. ตัวอย่างดี: “3 เทคนิค SEO ที่ลองแล้วเวิร์กจริง (ปี 2023)” → CTR จาก 0.7% → 1.9%

พลาดข้อสาม: หัวข้อไม่ดึงให้คลิก

  1. หัวข้อคลุมเครือ: “คู่มือกาแฟฉบับเต็ม” → CTR 0.6%
  2. ปรับใหม่: “สอนดริปกาแฟให้เก่งใน 5 นาที” → CTR 1.3%

2. Meta Description ที่คนมักมองข้าม

ความจริง: Google บางครั้งไม่ใช้คำอธิบายที่เราตั้งไว้ แต่นำจากเนื้อหาเพจมาแทน ทำให้ผลลัพธ์ไม่ตรงที่ตั้งใจ

กรณีจริง: บทความสอนใช้ Excel เดิม CTR 0.5% พอเปลี่ยน Meta เป็น “5 วิธีแก้ Excel ช้า (พร้อมไฟล์ฟรี)” → CTR เพิ่มเป็น 1.2%

เทคนิค: ใส่คีย์เวิร์ดปัญหา + ทางแก้ ใน 120 ตัวแรกของ Meta

3. ความตั้งใจค้นหากับเนื้อหาไม่ตรงกัน

ตัวอย่าง: อยู่อันดับ 1 แต่ CTR แค่ 0.8%

  • เช่น: คนค้น “ลบบัญชี Instagram” แต่หน้าเพจพูดถึง “ฟีเจอร์ใหม่ของ Instagram” → ไม่คลิก

แนวทางแก้:

  1. ใช้เครื่องมือเช่น Ahrefs วิเคราะห์เจตนาการค้นหา เช่น หาข้อมูล เปรียบเทียบ หรือเตรียมซื้อ
  • เปรียบเทียบโครงสร้างของ 5 คอนเทนต์อันดับแรกใน SERP (เช่น แบบสอนใช้งาน, รีวิวเปรียบเทียบ, Q&A เป็นต้น)
  • 4. ​ปัญหาด้านเทคนิค: ผู้ใช้ไม่คลิกตั้งแต่แรก

    • ไม่รองรับมือถือ: ปุ่มเล็กเกินไป / ช่องว่างระหว่างปุ่มน้อย → คลิกพลาดมากกว่า 30% (โดยเฉพาะบน Android)
    • หน้าโหลดช้า: จากข้อมูล Google → ถ้าโหลดเกิน 3 วินาที CTR จะลดลง 15%
    • ไม่มี SSL: เบราว์เซอร์แสดง “ไม่ปลอดภัย” → ผู้ใช้กดออกทันที

    การปรับปรุง CTR (แค่เปลี่ยนชื่อหัวข้อไม่พอ)

    “เปลี่ยนชื่อหัวข้อหลายรอบแล้ว ทำไม CTR ยังไม่ขึ้น?” — บางทีปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่หัวข้อ

    ถ้าอยากเพิ่ม CTR จริง ๆ ควรปรับทั้งระบบ ลองใช้วิธีเหล่านี้ที่หลายคนยังไม่รู้ แต่พิสูจน์แล้วว่าเวิร์ค:

    1. ​ใช้ Structured Data: เพิ่ม “ลูกเล่นพิเศษ” ให้กับหัวข้อ

    • แสดงคะแนนดาว: โชว์ดาว ★★★★☆ หน้า title → CTR เฉลี่ยเพิ่ม 24% (อ้างอิงจาก Search Engine Land)

    วิธีทำ: ใช้ Schema Markup ใส่ข้อมูลรีวิว/ราคา → โชว์ผลแบบ rich result บน Google

    • Breadcrumb: แสดงลำดับหน้า เช่น “หน้าแรก > บทความ > ถ่ายภาพมือถือ” → CTR เพิ่ม 18%
    • FAQ Markup: เพิ่มคำถามแนว “ทำยังไง”, “ทำไม” → Google แสดงคำตอบแบบพับได้ → CTR พุ่ง 30%

    2. ​ใช้ SERP ให้เป็นประโยชน์

    ตั้งเป้าไปที่ Featured Snippet

    1. ตั้งชื่อหัวข้อเป็นคำถาม เช่น “ลดบวมหรือเหนื่อยง่ายทำยังไง?” → เข้ากับฟอร์แมต Q&A ของ Google
    2. ในเนื้อหาใส่ขั้นตอน เช่น “ทำตาม 3 ขั้นตอนนี้ หายภายใน 5 นาที”

    หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีโฆษณาเยอะ

    • ถ้าคีย์เวิร์ดนั้นอันดับ 1–4 ใน SERP เป็นโฆษณาหมด → ลองใช้คีย์เวิร์ดย่อยที่เจาะจงกว่า เช่น “หูฟังบลูทูธ ราคาคุ้มค่า” แทน “หูฟังบลูทูธ”

    3. ​ทำ A/B Test อย่างถูกต้อง

    • เลือกเครื่องมือให้เหมาะ
      • ใช้ Google Search Console → ฟีเจอร์ “เปรียบเทียบประสิทธิภาพ” (ฟรี แต่ข้อมูลดีเลย์ 3 วัน)
      • ใช้เครื่องมือภายนอก เช่น ClickFlow → ทดสอบชื่อหัวข้อแบบเรียลไทม์
    • ระยะเวลาในการทดสอบ
      • ควรให้แสดงผลอย่างน้อย 2,000 ครั้งก่อนสรุป (ถ้าน้อยเกินไปอาจเข้าใจผิด)
      • ตัวอย่าง: หน้าเว็บเครื่องมือหนึ่งทดสอบ “ฟรี” กับ “0 บาท” → คำว่า “0 บาท” CTR สูงกว่า 37%

    4. ​วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้แบบเจาะลึก

    Heatmap ไม่เคยโกหก

    • ถ้าผู้ใช้อ่านแค่ด้านบนของหน้าแล้วออกเลย → อาจเป็น clickbait → Google อาจลดอันดับ
    • หน้าที่ผู้ใช้เลื่อนลงมากกว่า 50% มักมี CTR สูงขึ้นเฉลี่ย 15% (เพราะ Google เห็นว่าคอนเทนต์ดี)

    ใช้ Search Query Report หาโอกาส

    • ดูใน Google Search Console ว่าคำไหนแสดงผลเยอะแต่คลิกน้อย → ปรับ intro ของบทความให้แมตช์คำนั้น

    5. ​เทคนิคที่หลายคนมองข้าม

    Preload สำคัญมาก

    ใช้ โหลดไฟล์หลักล่วงหน้า → โหลดไวขึ้น → CTR เพิ่ม 9%

    ใช้ AMP กับบทความ

    เนื้อหาเชิงข้อมูลที่ใช้ AMP → CTR บนมือถือสูงกว่าปกติ 22% (เพราะ Google ดันเป็นพิเศษ)

    ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำ CTR

    “เปลี่ยนชื่อหัวข้อแล้ว แต่ CTR กลับลด?” — บางทีอาจกำลัง “ปรับ” ผิดวิธี

    1. ​กับดักที่ 1: เปลี่ยนชื่อหัวข้อบ่อยเกินไป

    ความจริง: Google ใช้เวลา 2–4 สัปดาห์ในการประเมินหน้าใหม่ → ถ้าเปลี่ยนบ่อย อันดับจะไม่นิ่ง

    เคสจริง: บล็อกหนึ่งเปลี่ยนชื่อหัวข้อ 3 ครั้งในเดือนเดียว → CTR ร่วงจาก 1.2% เหลือ 0.5% → กลับมาใช้ชื่อเก่า CTR ขึ้นเป็น 1.1%

    • คำแนะนำ: หน้าเดียวไม่ควรเปลี่ยนชื่อเกิน 2 ครั้ง/เดือน และควรเว้นระยะ 14 วัน

    2. ​กับดักที่ 2: สนแค่ CTR แต่ไม่ดู Bounce Rate

    • ตัวอย่างอันตราย: หัวข้อแบบ clickbait เช่น “คลิกลุ้นรับ iPhone!” → CTR ได้ 3% แต่ Bounce Rate สูงถึง 90% → Google จัดว่าเนื้อหาแย่ ทำให้อันดับตก

    เกณฑ์ที่ดี

    • CTR ≥ 1% + Bounce Rate ≤ 50% → โอเค
    • CTR ≥ 2% + Bounce Rate ≥ 80% → เสี่ยง

    3. ​กับดักที่ 3: ลืมเรื่องฤดูกาล

    ผลกระทบจากฤดูกาล

    1. เว็บท่องเที่ยว CTR พุ่ง 30–50% ช่วงวันหยุด
    2. เว็บเกี่ยวกับภาษี CTR ลดลง 20% ช่วง ธ.ค.–ม.ค. (จาก “วิธีทำ” → “เนื้อหาเชิงนโยบาย”)

    วิธีเช็ค: ใช้ Google Trends เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดิมของปีก่อน

    4. ​กับดักที่ 4: ตั้งชื่อหัวข้อโดยยึดจากพีซี

    ข้อผิดพลาดบนมือถือ

    1. ใส่คีย์เวิร์ดใน 32 ตัวแรก (ส่วนที่เหลืออาจโดนตัด)
    2. ใส่เครื่องหมายเยอะเกิน เช่น |【】→ ดันคำสำคัญไปท้าย
    • ตัวอย่างไม่ดี: “2023 เวอร์ชั่นล่าสุด|ไกด์เที่ยว New York (แผนที่/ขนส่ง/ของกิน)” → บนมือถือโชว์แค่ “2023 เวอร์ชั่นล่าสุด|New Yo…” → CTR เหลือแค่ 0.4%

    5. ​กับดักที่ 5: ไม่ดูว่า SERP ของคู่แข่งเป็นยังไง

    ผลกระทบจากโฆษณา

    • ถ้าคีย์เวิร์ดนั้น 3 อันดับแรกใน SERP เป็นโฆษณา → ต่อให้อันดับ 1 แบบออร์แกนิก ก็อาจได้ CTR แค่ 2% (ทั้งที่ควรได้ 25%)
    • วิธีแก้: ใช้เครื่องมืออย่าง SEMrush วิเคราะห์ความหนาแน่นของโฆษณา → หลีกเลี่ยงคีย์เวิร์ดที่แข่งขันหนัก

    จำ 2 หลักการนี้ไว้:

    1. การเพิ่ม CTR = 50% ตรวจสอบเทคนิค + 30% สอดคล้องกับเจตนาค้นหา + 20% การเขียนคำ
    2. ก่อนเปลี่ยนชื่อหัวข้อ ถามตัวเอง: ผู้ใช้จะเห็นหัวข้อนี้จากอุปกรณ์แบบไหน ในสถานการณ์แบบใด?

    ถ้า CTR ตํ่ากว่า 1% ตรวจสอบ 3 อย่างนี้ก่อน:

    1. ลองค้นคีย์เวิร์ดบนมือถือ แล้วแคปหน้าผลลัพธ์ดู
    2. เช็กความเร็วโหลดหน้า (ใช้ PageSpeed Insights)
    3. เทียบโครงสร้างคอนเทนต์ 5 อันดับแรกใน SERP
    Picture of Don Jiang
    Don Jiang

    SEO本质是资源竞争,为搜索引擎用户提供实用性价值,关注我,带您上顶楼看透谷歌排名的底层算法。

    最新解读