หลังอัปเดตอัลกอริทึมของ Google ทราฟฟิกร่วงฮวบ|รอให้ฟื้นตัวหรือปรับเนื้อหาทันที

本文作者:Don jiang

การปรับเปลี่ยนโดยไม่ไตร่ตรองตามกระแส อาจนำไปสู่การถูกลดอันดับซ้ำ แต่การรอเฉย ๆ ก็อาจทำให้พลาดช่วงเวลาทองในการฟื้นตัว

ความจริงแล้ว ทุกครั้งที่ทราฟฟิกลดลงอย่างหนัก มักมี “สาเหตุ” ที่ชัดเจนเสมอ — อาจเป็นผลกระทบจากการปรับอัลกอริทึม หรืออาจเป็นปัญหาที่สะสมอยู่ในเว็บไซต์

บทความนี้จะไม่พูดถึงทฤษฎีซับซ้อน แต่จะวิเคราะห์จากมุมมองภาคปฏิบัติ: วิธีใช้เครื่องมือฟรีเพื่อระบุปัญหาอย่างรวดเร็ว (เช่นการตรวจสอบข้อมูลจาก Search Console), การประเมินจุดอ่อนของคอนเทนต์จาก bounce rate และการเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และเสนอแนวทางลำดับความสำคัญในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การอัปเดตอัลกอริทึม การถูกลงโทษโดยตรง หรือข้อผิดพลาดทางเทคนิค

ทราฟฟิกลดลงหลัง Google อัปเดตอัลกอริทึม

เป็นการอัปเดตของ Google หรือเว็บไซต์ของคุณมีปัญหา

จริง ๆ แล้ว ในแต่ละปี Google มีการอัปเดตอัลกอริทึมหลายสิบครั้ง แต่การอัปเดตที่ส่งผลต่อทราฟฟิกจริง ๆ มีเพียง 3–4 ครั้งเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่ทราฟฟิกตก มักเกิดจากจุดอ่อนของเว็บไซต์เองที่ถูกเน้นให้เห็นชัด

1 วิธีวิเคราะห์สาเหตุทราฟฟิกร่วงอย่างรวดเร็ว (เครื่องมือ + ข้อมูล)

การตรวจสอบด้วยชุดเครื่องมือ:

  1. ช่องทางทางการของ Google: ตรวจสอบรายงาน “การดำเนินการด้วยตนเอง” ใน Google Search Console (GSC) ว่ามีการแจ้งเตือนการลงโทษหรือไม่ และเปรียบเทียบเวลาที่ทราฟฟิกลดลงกับช่วงเวลาที่ Google ประกาศ “Core Update” (เช่น การอัปเดตในเดือนสิงหาคม 2023)
  2. เครื่องมือจากภายนอก: ใช้ SEMrush หรือ Ahrefs เพื่อติดตามแนวโน้มทราฟฟิกในอุตสาหกรรม ถ้าทุกเว็บไซต์ทราฟฟิกลดลง อาจเป็นเพราะอัลกอริทึม แต่ถ้ามีแค่ของคุณ น่าจะเป็นปัญหาในเว็บไซต์เอง
  3. การวิเคราะห์ข้อมูลไขว้: เปรียบเทียบคุณสมบัติร่วมของหน้าที่ทราฟฟิกลดลง เช่น ไม่มีลิงก์คุณภาพสูง, bounce rate สูง, หรือเนื้อหาซ้ำกัน ไม่ควรดูข้อมูลรวมทั้งเว็บไซต์

1 พื้นที่เสี่ยงที่มักนำไปสู่การลงโทษ: เนื้อหาคุณภาพต่ำ, ลิงก์ภายนอกไม่เหมาะสม, ข้อบกพร่องทางเทคนิค

เนื้อหาคุณภาพต่ำ:

  1. ลักษณะทั่วไป: คัดลอกเนื้อหา, เนื้อหาที่สร้างด้วย AI โดยไม่ปรับแต่ง, ข้อมูลล้าสมัย (เช่น เขียนว่า “อัปเดตล่าสุดปี 2022” ในปี 2024), ยัดคีย์เวิร์ดเกินพอดี (เช่น คำเดียวกันซ้ำเกิน 5 ครั้งในย่อหน้าเดียว)
  2. กรณีศึกษา: บล็อกท่องเที่ยวแห่งหนึ่งนำเนื้อหาจาก Tripadvisor มาลงซ้ำจำนวนมาก ทำให้ทราฟฟิกลดลงถึง 70% หลังจาก Google ปล่อยอัปเดตต่อต้านสแปมในปี 2023

2 การใช้ลิงก์ภายนอกแบบสแปม:

สัญญาณอันตราย: มีลิงก์จากแหล่งที่ซ้ำกันจำนวนมาก, ลิงก์มาจากเว็บไซต์ในอุตสาหกรรมเดียวกันมากเกินไป, ซื้อ PBN ลิงก์ (Google ประกาศชัดเจนว่าปราบปรามลิงก์ที่ชำระเงิน)

เครื่องมือตรวจสอบ: ใช้ Ahrefs เพื่อเช็ก “สุขภาพของลิงก์ภายนอก” หรือใช้ Spam Score ของ Moz เพื่อแยกแยะลิงก์คุณภาพต่ำ

ข้อบกพร่องทางเทคนิค:

  • ปัญหาร้ายแรง: โหลดบนมือถือเกิน 3 วินาที, มีลิงก์เสียจำนวนมาก (โดยเฉพาะในเมนูนำทาง), ตั้งค่าปิดกั้นการรวบรวมข้อมูลผิดพลาด (เช่น robots.txt), ใบรับรอง HTTPS หมดอายุ
  • กรณีศึกษา: เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแห่งหนึ่งโหลดช้าเกินไปบนมือถือ ทำให้สูญเสียแท็ก “เหมาะสำหรับมือถือ” และอัตราการคลิกลดลงถึง 40%

3 ความแตกต่างระหว่างอัปเดตเชิงบวก (ส่งเสริมเนื้อหาคุณภาพ) และอัปเดตเชิงลงโทษ (ปราบเว็บคุณภาพต่ำ)

Core Update (เชิงบวก):

อัปเดตเชิงลงโทษ (เช่น การอัปเดตต่อต้านสแปม):

  • ลักษณะ: ทราฟฟิกลดลงแบบฉับพลันใน 1 สัปดาห์ (มากกว่า 50%), มีการแจ้งเตือนการลงโทษใน GSC, มีปัญหาลิงก์หรือเนื้อหาชัดเจน
  • แนวทางรับมือ: เร่งลบลิงก์ขยะ, ลบเนื้อหาคัดลอก, และส่งคำร้องขอพิจารณาใหม่ให้ Google

การวินิจฉัยแบบตรงจุด

การที่ทราฟฟิกตก ไม่ควรแค่สรุปว่า “อาจเป็นอัลกอริทึมหรือเว็บไซต์เอง” เท่านั้น

เช่นเดียวกับหมอที่ต้องดูผลตรวจเลือดก่อนจ่ายยา คุณก็ต้องดูข้อมูลจริงเพื่อหาต้นตอ

อย่าตอบสนองแบบ “ปวดหัวก็แค่กินยาแก้ปวด” เพราะอาจพลาดปัญหาสำคัญ

1 วิเคราะห์จุดร่วมของหน้าที่ทราฟฟิกลดลง (bounce rate, เวลาพักหน้า, อันดับคีย์เวิร์ด)

ตัวชี้วัดหลัก:

  1. bounce rate > 70% + เวลาพักหน้า < 30 วินาที: เนื้อหาไม่ตอบโจทย์เจตนาในการค้นหา (เช่น คนค้น “วิธีเลือกหูฟังบลูทูธ” แต่หน้าเว็บพูดเรื่องเทคนิคเฉพาะล้วน ๆ)
  2. อันดับคีย์เวิร์ดลดลงเป็นกลุ่ม: ตรวจสอบว่าเป็นกลุ่มคำเดียวกันหรือไม่ (เช่น คำยาวตกหมด) หรือคำหลักโดนแย่งอันดับ (ใช้ Ahrefs เพื่อติดตามอันดับเทียบคู่แข่ง)
  3. กรณีศึกษา: เว็บไซต์เครื่องมือฟรีแห่งหนึ่งพบว่าหน้า “ดาวน์โหลดฟรี” ทราฟฟิกลดลง เพราะคู่แข่งเพิ่มฟีเจอร์ใช้งานออนไลน์ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องดาวน์โหลดอีก

ลำดับความสำคัญในการแก้ไข:

  1. เริ่มจากหน้าหลักที่สร้างทราฟฟิก 80% ในช่วง 3 เดือนหลังสุด (ใช้รายงาน “มูลค่าหน้า” ใน GA4)
  2. จากนั้นดูหน้ารองที่ bounce rate เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เพื่อป้องกันภาพรวม UX ของเว็บไซต์ตก

2 ใช้ Search Console ตรวจสอบการแจ้งเตือนการลงโทษด้วยมือและปัญหาการครอบคลุม

การอ่านรายงานสำคัญ:

  1. ปัญหาการครอบคลุม: ให้ตรวจสอบหน้า “ส่งแล้วแต่ยังไม่ถูกจัดทำดัชนี” เป็นพิเศษ (อาจถูกกรองโดยกูเกิลเพราะเนื้อหาคุณภาพต่ำ)
  2. การแจ้งเตือนการดำเนินการด้วยมือ: หากได้รับคำเตือนเกี่ยวกับ “สแปมเนื้อหา” หรือ “ลิงก์ผิดปกติ” ต้องจัดการภายใน 72 ชั่วโมง (ระยะเวลาการอุทธรณ์อาจนานถึง 1 เดือน)
  3. กรณีศึกษา: เว็บไซต์การศึกษาแห่งหนึ่งโดนลงโทษเพราะหน้าราคาคอร์สซ่อนข้อความ (ใช้พื้นหลังสีขาวซ้ำคำสำคัญ) หลังโดนลงโทษจราจรลดเหลือศูนย์ แก้ไขแล้วฟื้นตัวใน 2 สัปดาห์

ตรวจสอบช่องโหว่บ่อย:

  1. ข้อผิดพลาดข้อมูลโครงสร้าง: ใช้ “Enhanced Monitoring” ตรวจสอบว่าราคาสินค้า คะแนนรีวิว ฯลฯ ถูกทำเครื่องหมายถูกต้องหรือไม่
  2. การลดลงอย่างฉับพลันของการครอบคลุมดัชนี: ลบหน้าคุณภาพต่ำ (เช่นโพสต์ถามตอบเนื้อหาบาง) แล้วส่งแผนผังเว็บไซต์ใหม่

3 เปรียบเทียบคู่แข่ง: เนื้อหา/ลิงก์ภายนอก/ประสบการณ์ผู้ใช้ ของเขาดีกว่าคุณตรงไหน?

วิเคราะห์ช่องว่างเนื้อหา:

  • เครื่องมือ: ใช้ SEMrush “Content Gap Analysis” หรือ Screaming Frog ดึงหัวข้อและโครงสร้าง H2 ของคู่แข่ง
  • จุดสำคัญ: คู่แข่งครอบคลุมความต้องการผู้ใช้ที่คุณยังขาดหรือไม่ (เช่น หน้ารีวิวมือถือขาด “ตารางเปรียบเทียบการใช้งานแบตเตอรี่”)

เปรียบเทียบคุณภาพลิงก์ภายนอก:

  • Ahrefs การวิเคราะห์ลิงก์คู่แข่ง: ดูว่าคู่แข่งได้ลิงก์คุณภาพสูงล่าสุดจากไหนบ้าง (เช่น การอ้างอิงในรายงานอุตสาหกรรมหรือสื่อรีวิว)
  • กรณีศึกษา: เว็บไซต์ความงามแห่งหนึ่งพบว่าคู่แข่งได้ลิงก์แนะนำจากบล็อกเกอร์ความงามกว่า 10 รายใน 3 เดือน ขณะที่ตัวเองมีแต่ลิงก์ขยะจากฟอรัม จึงปรับกลยุทธ์ลิงก์ทันที

รายละเอียดประสบการณ์ผู้ใช้:

  • การออกแบบปฏิสัมพันธ์ของหน้า: คู่แข่งใส่ฟีเจอร์อย่าง “เมนูพับคำถามที่พบบ่อย” หรือ “เปรียบเทียบสเปกด้วยคลิกเดียว” หรือไม่?
  • ประสิทธิภาพการแสดงข้อมูล: ใช้ Hotjar วิเคราะห์แผนที่ความร้อน ว่าผู้ใช้เจอข้อมูลสำคัญ (เช่น ราคาสินค้า ปุ่มสั่งซื้อ) ได้เร็วแค่ไหนบนหน้าเว็บไซต์ของคุณ

ควรแก้ไขเนื้อหาหรือไม่

“แก้เนื้อหา” ไม่ใช่คำตอบตลอดไป — การลบหรือเขียนใหม่โดยไม่วางแผนอาจทำให้ทราฟฟิกลดหนักกว่าเดิม

ในส่วนนี้ไม่พูดเรื่องทฤษฎี ให้คำตอบตรงๆ: ใช้แมทริกซ์ “มูลค่าทราฟฟิก + ระดับความเสี่ยง” เพื่อแยกแยะว่าควรแก้ทันที แก้เล็กน้อย หรือไม่ควรแตะ และแถมตัวอย่างจริงสอนวิธีแก้เนื้อหาอย่างปลอดภัย

1 กรณีต้องแก้ทันที: ลอกเลียนแบบ, ยัดคีย์เวิร์ด, ข้อมูลล้าสมัย

เนื้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ (ไม่ยอมให้เลย):

เครื่องมือตรวจสอบ: ใช้ Copyscape หรือ Originality.ai ตรวจสอบหน้าที่ซ้ำซ้อนเกิน 30%

ขั้นตอนแก้ไข:

  1. ลบหรือเขียนใหม่ทั้งหมด (เก็บข้อมูลสำคัญไว้แต่เปลี่ยนวิธีเล่าใหม่)
  2. เพิ่มหลักฐานความเป็นต้นฉบับ เช่น ข้อมูลผู้เขียน ผลวิจัย รูปภาพเฉพาะ
  3. ส่งหน้าอัปเดตให้กูเกิลจัดทำดัชนีใหม่

กรณีศึกษา: เว็บไซต์การแพทย์แห่งหนึ่งย้ายข้อมูลอาการจาก Wikipedia ถูกกูเกิลตัดคะแนน “ขาดความน่าเชื่อถือทางการแพทย์” แก้ไขโดยลบเนื้อหาละเมิดและเพิ่มลายเซ็นแพทย์ ทำให้ทราฟฟิกฟื้นตัว 65%

ยัดคีย์เวิร์ด (ความเสี่ยงสูง):

  • ลักษณะทั่วไป: ซ้ำคำสำคัญมากกว่า 3 ครั้งในย่อหน้าเดียว หรือยัดคำยาวที่ไม่เกี่ยวข้อง
  • วิธีปรับ: ใช้ Surfer SEO หรือ Frase วิเคราะห์ความหนาแน่นของคำสำคัญและแทนที่ด้วยคำพ้องความหมาย (เช่น “ราคา” เป็น “ต้นทุน” หรือ “ค่าใช้จ่าย”)

ข้อมูลล้าสมัย (ฆ่าความเชื่อมั่น):

  • หน้าที่เสี่ยง: บทเรียน เช่น “คู่มือ ChatGPT ปี 2024” แต่ยังพูดถึง GPT-3 หรือกฎหมายภาษีที่ไม่ได้ปรับใหม่
  • วิธีแก้: เพิ่มวันที่อัปเดตล่าสุดที่ส่วนบนของบทความ และเพิ่มบันทึกการแก้ไขเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ

2 กรณีควรปรับอย่างระมัดระวัง: เนื้อหาต้นฉบับแต่ทราฟฟิกลดลง (ปรับหัวข้อ/ลิงก์ภายใน/เติมเต็มความต้องการ)

ปรับหัวข้อ (ทดลองง่ายต้นทุนต่ำ):

  • ความเข้าใจผิด: เติมคำว่า “ปี 2024 ล่าสุด” หรือ “คู่มือสุดยอด” โดยไม่คิด
  • วิธีได้ผล: ใช้ AnswerThePublic ค้นหาคำถามจริงของผู้ใช้แล้วจัดโครงสร้างหัวข้อใหม่ (เช่น จาก “แนะนำหูฟังบลูทูธ” เป็น “หูฟังบลูทูธที่ไม่หลุดระหว่างวิ่งปี 2024”)

ปรับโครงสร้างลิงก์ภายใน (เพิ่มน้ำหนักหน้า):

  • ลิงก์สำคัญ: ลิงก์ไปยังเนื้อหาคุณภาพสูง เช่น รายงานลึก คู่มือ มากกว่าหน้าสินค้า
  • กรณีศึกษา: เว็บไซต์เทคโนโลยีเพิ่มลิงก์ 3 จุดจากหน้ารายละเอียดสินค้าไปยังคู่มือ “วิธีเลือก CPU” ทำให้อัตราการอยู่ในหน้าเพิ่มขึ้น 20% ใน 2 สัปดาห์

เติมเต็มความต้องการผู้ใช้ (ดักทราฟฟิลงยาว):

  • เครื่องมือค้นหาช่องว่าง: ใช้ AlsoAsked.com วิเคราะห์หัวข้อที่คู่แข่งทำแต่คุณขาด (เช่น หน้า “สูตรอาหารหม้อทอดไร้น้ำมัน” ไม่มี “เมนูลดน้ำหนัก”)
  • เติมเต็มง่ายๆ: เพิ่ม FAQ ที่ส่วนล่างหน้าด้วยคำถามยอดนิยมที่สร้างด้วย ChatGPT และปรับแต่งด้วยมือ

กรณีศึกษา 3: ตัวอย่างการฟื้นฟูหลังเพิ่ม FAQ, ข้อมูลกรณีศึกษา และรีวิวผู้ใช้

พลังของโมดูล FAQ:

กรณีศึกษา: เว็บไซต์ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแห่งหนึ่ง เมื่อเพิ่ม FAQ จำนวน 10 ข้อในหน้าหัวข้อ “การแบ่งสินสมรสเมื่อหย่า” เช่น “ทรัพย์สินก่อนแต่งงานแบ่งอย่างไร?” “ถ้าคู่กรณีโอนทรัพย์สินจะทำอย่างไร?” พบว่าภายใน 3 เดือน จำนวนผู้เข้าชมหน้าเว็บเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า (ครอบคลุมคำค้นแบบหางยาว 112 คำ)

การออกแบบความน่าเชื่อถือของรีวิวผู้ใช้:

แนวทางปฏิบัติ: เพิ่ม “ภาพถ่ายผู้ใช้จริง + ระยะเวลาการใช้งาน” ในหน้าสินค้า (เช่น “ใช้งานมา 2 ปี, การเสื่อมของแบตเตอรี่วัดได้ 15%”) พร้อมใส่ Schema markup เพื่อเสริม SEO

ข้อมูล: เว็บไซต์เครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่ง ใช้วิธีนี้ทำให้อัตราการคลิก (CTR) ของหน้าสินค้าเพิ่มจาก 2.1% เป็น 4.7%

กลยุทธ์ระยะสั้นและระยะยาว

การลดลงของปริมาณการเข้าชมเหมือนกับ “ไข้หวัดหนัก” — ระยะสั้นต้องลดไข้และบรรเทาอาการ (แก้ไขจุดบกพร่อง), ระยะยาวต้องเสริมภูมิคุ้มกัน (สร้างระบบต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึม)

แต่เจ้าของเว็บจำนวนมากมักจะสนใจแค่ “วันนี้ปริมาณการเข้าชมเพิ่มหรือลด” โดยละเลยความสำคัญของการวางแผนเป็นขั้นตอน

1 ระยะสั้น: แก้ไขข้อผิดพลาดทางเทคนิค + อัปเดตเนื้อหาที่มีมูลค่าสูงก่อน

รายการตรวจสอบแก้ไขฉุกเฉินทางเทคนิค:

  • จัดการลิงก์เสีย: ใช้ Screaming Frog สแกนทั้งเว็บไซต์ ตั้งค่า 301 Redirect (หลีกเลี่ยงการรีไดเรกไปหน้าที่ไม่เกี่ยวข้อง) ลบลิงก์ที่ไม่ใช้งาน (เช่น หน้าสินค้าที่โปรโมชันหมดอายุ)
  • ปรับแต่งสำหรับมือถือ: ตรวจสอบด้วย Mobile-Friendly Test ความเร็วในการโหลด, ระยะห่างของปุ่มสัมผัส (ความหน่วง <50ms, ระยะห่าง >48px)
  • กรณีศึกษา: เว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่ง หลังแก้ไขปัญหาการโหลดภาพล่าช้าบนมือถือ ทำให้คะแนน “Core Web Vitals” ของหน้าหลักเพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 85% ภายใน 3 วัน

อัปเดตเนื้อหาที่มีมูลค่าสูง:

เกณฑ์คัดเลือก: หน้าเว็บที่สร้างทราฟฟิกหรือการแปลง (conversion) มากกว่า 50% ใน 90 วันที่ผ่านมา (วิเคราะห์ด้วย GA4 โดยใช้ “มูลค่าหน้า + เส้นทางการแปลง”)

การปรับปรุง:

  1. เพิ่มสรุปข้อสรุปสำคัญที่ด้านบนของบทความ (ตอบโจทย์ความต้องการ “หาคำตอบอย่างรวดเร็ว”);
  2. แทรกกราฟข้อมูลเฉพาะ (เช่น ภาพรายงานอุตสาหกรรม) หรือคำรับรองจากผู้ใช้ (เพิ่มความน่าเชื่อถือ);
  3. อัปเดตลิงก์ภายในให้ชี้ไปยังเนื้อหาใหม่ล่าสุด (เช่น เปลี่ยน “คำอธิบายนโยบายปี 2022” เป็นเวอร์ชันปี 2024)

2 ระยะยาว: สร้างระบบเนื้อหา EEAT + การสร้างลิงก์ธรรมชาติ

วิธีนำ EEAT (ความเชี่ยวชาญ, ความน่าเชื่อถือ, ความน่าไว้วางใจ) ไปใช้จริง:

  • การรับรองผู้เขียน: ใส่ชื่อจริง, คุณสมบัติทางวิชาชีพ (เช่น “ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต” “แพทย์ที่มีประสบการณ์คลินิก 10 ปี”), ช่องทางติดต่อ (อีเมลองค์กร หรือ LinkedIn) ในหน้าที่เกี่ยวข้องกับสาขาเฉพาะ
  • หลักฐานความเป็นต้นฉบับ: เผยแพร่ข้อมูลวิจัยในอุตสาหกรรม (ใช้ Google Data Studio เพื่อสร้างภาพ), เอกสารกรณีศึกษาลูกค้า (เช่น ไวท์เปเปอร์ PDF)
  • กรณีศึกษา: เว็บไซต์การเงินแห่งหนึ่งเพิ่ม “บทความโดยผู้ถือใบรับรอง CFA + แบบจำลองวิเคราะห์อัตราดอกเบี้ยเฟดปี 2024” ในหน้าคำแนะนำการลงทุน คะแนนความน่าเชื่อถือใน Ahrefs เพิ่มจาก 30 เป็น 68

กลยุทธ์ลิงก์ธรรมชาติ:

  • แลกเปลี่ยนทรัพยากร: ใช้เครื่องมือหรือข้อมูลเฉพาะที่มีเพื่อแลกกับการอ้างอิงจากสื่อในอุตสาหกรรม (เช่น แจก “เครื่องคำนวณประสิทธิภาพโซเชียลมีเดียปี 2024” ให้เว็บไซต์การตลาด)
  • ตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับ: ใช้รายงาน “การเติบโตของลิงก์ธรรมชาติ” ใน Ahrefs เพื่อลบลิงก์ที่ไม่ถูกจัดเก็บเป็นประจำ

3 หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด: การซื้อ ลิงก์คุณภาพต่ำ และการก็อปปี้เนื้อหา

กับดักลิงก์:

  • ลักษณะ: ราคาต่ำกว่า $20 ต่อ ลิงก์, รับประกัน “ติดอันดับหน้าแรกใน 3 วัน”, แหล่งลิงก์มาจากฟาร์มเนื้อหา (เช่น PBN)
  • ผลลัพธ์: อย่างน้อยลิงก์ถูก Google กรองทิ้ง ร้ายแรงสุดคือโดนจำกัดการแสดงผลทั้งเว็บไซต์ (ต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานกว่า 6 เดือน)

ความเสี่ยงจากการคัดลอกเนื้อหา:

  • อัพเดท Google: อัพเดท “Content Update” ปี 2023 สามารถตรวจจับเนื้อหารีไรต์ด้วย AI ได้ (เช่น โครงสร้างย่อหน้าเหมือนกัน, ขาดมุมมองเฉพาะตัว)
  • เครื่องมือตรวจสอบตนเอง: ใช้ Originality.ai ตรวจสอบความคล้ายคลึงของเนื้อหา AI ให้ต่ำกว่า 15%

กลับสู่พื้นฐาน SEO ของ Google: ผู้ใช้ต้องการอะไร และเว็บไซต์ของคุณตอบโจทย์นั้นได้เร็วกว่าคู่แข่ง ถูกต้องกว่า และน่าเชื่อถือกว่าหรือไม่?

Picture of Don Jiang
Don Jiang

SEO本质是资源竞争,为搜索引擎用户提供实用性价值,关注我,带您上顶楼看透谷歌排名的底层算法。

最新解读