【คู่มือวิเคราะห์】ทำไมอันดับ SEO บน Google ของฉันไม่ขึ้น

本文作者:Don jiang

ในยุคที่อัลกอริธึมของ Google พัฒนาไปไกลแบบนี้ หลายเว็บไซต์มักจะติดกับดักของการทำ SEO แบบเดิม ๆ เช่น “ยัดคีย์เวิร์ด → โดนตัดลิงก์ → โดนลดอันดับ” แต่สิ่งที่ Google ให้ความสำคัญจริง ๆ คือ “ตอบโจทย์ความตั้งใจในการค้นหาได้ดีแค่ไหน”

จากแนวโน้มการอัปเดตอัลกอริธึมในปี 2024 Google ได้เน้นระบบประเมิน E-E-A-T (ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ และความไว้ใจ) มากขึ้น และยังให้ความสำคัญกับประสบการณ์หน้าเพจ (Core Web Vitals) และ Mobile-First Index เป็นปัจจัยหลักในการจัดอันดับด้วย

อ่านบทความนี้แล้วคุณจะเข้าใจว่าควรหลีกเลี่ยงการเขียนคอนเทนต์แบบ “ตามใจตัวเอง” และสามารถผลิตคอนเทนต์ที่เป็นไปตามแนวทางคุณภาพของ Google ได้

ทำไมอันดับ SEO ใน Google ไม่ขยับขึ้น?

เนื้อหายังไม่ตอบโจทย์ความตั้งใจของผู้ค้นหา

แก่นแท้ของอัลกอริธึม Google คือ “ความตรงกับเจตนาของผู้ใช้” ไม่ใช่แค่จำนวนคำหรือความถี่ของคีย์เวิร์ด

ถ้าคอนเทนต์คุณไม่สามารถตอบโจทย์การค้นหาแบบ ข้อมูล / แนะนำ / เชิงซื้อขาย / ผสมผสาน ได้อย่างครบถ้วน ต่อให้ทำ SEO ดีแค่ไหน อันดับก็ยังไม่ขึ้น

▌ วิเคราะห์เจตนาค้นหา 3 ขั้นตอน

จัดลำดับลำดับความต้องการ:

  1. ใช้ AnswerThePublic หรือ SEMrush หาคำถามที่คนมักจะค้นจากคีย์เวิร์ดเป้าหมาย
  2. วิเคราะห์โครงสร้างบทความของ TOP10 คู่แข่ง ว่าเขาครอบคลุมเนื้อหาแค่ไหน (เช่น ถ้าเป็นเรื่องสุขภาพ ควรมีทั้ง “อาการ → การวินิจฉัย → การรักษา → การป้องกัน”)

สร้างเครือข่ายความหมาย:

  1. ใช้ Google NLP API หรือ TF-IDF ดึงหัวข้อและคำที่เกี่ยวข้อง สร้าง Topic Cluster ให้ครบ
  2. เช่น “รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุด” อาจต้องพูดถึง “วัสดุซัพพอร์ต / ความทนทาน / น้ำหนักตัว” เป็นต้น

เรียงลำดับความสำคัญของความต้องการ:

  • พิจารณาจาก Search Volume, CTR, Conversion Rate แล้วจัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาแต่ละช่วง (เครื่องมือแนะนำ: Surfer SEO Heatmap)

▌ สูตรสร้างคอนเทนต์ที่ Google รัก

สูตรเสริม E-E-A-T = อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (30%) + ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง (40%) + ใส่ Structured Data (30%)

  • เนื้อหาประเภท YMYL (สุขภาพ การเงิน ฯลฯ) ควรใส่ข้อมูลผู้เขียนที่มีคุณสมบัติ เช่น วุฒิ ประสบการณ์ แหล่งอ้างอิง พร้อมใช้ <script type="application/ld+json">
  • บทความสอนควรมีวิดีโอแนะนำ หรือเครื่องมือโต้ตอบ เพื่อลด Bounce Rate และเพิ่มเวลาบนเพจ

▌ ตัวอย่างที่ควรเลี่ยง

  • ระวัง “คอนเทนต์ที่ AI สร้างคล้าย ๆ กันไปหมด” – Google เริ่มจับแพทเทิร์นของ ChatGPT ได้แล้ว ควรใส่ Insight หรือข้อมูลเฉพาะของวงการเพิ่มเติมเอง
  • อย่าละโมบ – 1 หน้า ควรเน้นเพียง 1 เจตนา เช่น รีวิวสินค้า กับคู่มือการซื้อ ควรแยกคนละเพจ

เลือกคีย์เวิร์ดพลาด ลำดับความสำคัญผิด

สมัยก่อน SEO วัดค่าด้วย “คีย์เวิร์ดที่ค้นเยอะที่สุด” แต่ตอนนี้ Google ให้ความสำคัญกับ “ตรงเจตนา” มากกว่าจำนวนค้นหา

ถ้าไล่ตามแต่คำยอดฮิตจนลืมคำเฉพาะ หรือเอาคำที่แข่งขันสูงไปใช้ในเพจที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ก็จะตันเร็วมาก

แก่นของการเลือกคีย์เวิร์ดผิด คือ “การออกแบบไม่สมดุลระหว่าง เจตนา × พลังของคอนเทนต์ × ทรัพยากร”

▌ เครื่องมือค้นหา Long-tail Keyword

แยกสถานการณ์การค้นหา:

  • ใช้ Ahrefs Keywords Explorer เพื่อหา long-tail คำถาม เช่น “how to fix slow website” มี CVR สูงกว่า “website speed” ถึง 3 เท่า
  • ใช้ Google Trends หาคำเฉพาะท้องถิ่น เช่น ใน SEA คำว่า “halal SEO” มีผลมาก

ติดป้ายเจตนาการค้นหา:

  • แบ่งเป็น 4 ระดับ – ข้อมูล / นำทาง / เชิงพาณิชย์ / ซื้อขาย
  • ใช้ SEMrush Keyword Magic Tool ในการจัดกลุ่มอัตโนมัติ

▌ โมเดลประเมินความยากแบบไดนามิก

ประเภทคีย์เวิร์ด เกณฑ์ประเมิน กลยุทธ์ที่ควรใช้
ทราฟฟิกสูง / แข่งขันต่ำ Search > 1K, Ahrefs KD% < 30 ลงทุนเต็มที่ เขียนยาว 2,500 คำขึ้นไป
ทราฟฟิกสูง / แข่งขันสูง KD% > 50, DA ของ TOP10 > 70 ใช้กราฟฟิก/วิดีโอเพิ่มความต่าง
ทราฟฟิกต่ำ / CVR สูง (เฉพาะกลุ่ม) CTR > 35%, มีความตั้งใจซื้อชัดเจน เน้นบทความเปรียบเทียบ รีวิวสินค้า

▌ Flow การตัดสินใจ (ตัวอย่าง)

1. สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจไหม? → ไม่: ตัดออก  
   ↓ใช่  
2. เจตนาในคำค้นกับเนื้อหาหน้าตรงกันไหม? → ไม่: แยกทำอีกหน้า  
   ↓ใช่  
3. ความยากของคีย์เวิร์ดสูงกว่าความน่าเชื่อถือเว็บไหม? → ใช่: หาคำรองแทน  
   ↓ไม่  
4. มีจุดแตกต่างที่ชัดเจนไหม? → ไม่: ใช้ Q&A ฟอรัมชิงทราฟฟิก  
   ↓ใช่  
→ เป็นคีย์เวิร์ดที่ควรลงทุนทันที

โครงสร้าง SEO ทางเทคนิคมีปัญหา

ใช้เทคนิค SPA, Lazy Load, Rendering แบบไดนามิกมากเกินไป อาจทำให้บอทของ Google ดึง DOM ทั้งหน้าไม่ครบ

เว็บ e-commerce แห่งหนึ่ง ไม่ได้ prerender คำอธิบายสินค้าที่สร้างด้วย JavaScript เลยทำให้กว่า 70% ของหน้าถูก Google มองไม่เห็น

ถ้าไม่สนใจการ crawl และ index ต่อให้ใช้เงินทำ SEO ก็ไร้ผล

▌ ปัญหาเทคนิคที่เจอบ่อย 3 แบบ

ประเภทปัญหา เครื่องมือเช็ก แนวทางแก้
การถูก crawl Screaming Frog + log analysis ปรับ Crawl Budget, ตรวจ robots.txt ให้ถูกต้อง
การถูก index Google Index Coverage Report จัดการ duplicate (ใช้ Canonical), ลบหน้า error (410)
ประสิทธิภาพการเรนเดอร์ Chrome DevTools Lighthouse Prerender เนื้อหาหลัก, ใช้ Lazy Load เฉพาะเนื้อหานอกจอ (Intersection Observer)

▌ เทคนิคฉุกเฉิน SEO – เห็นผลใน 72 ชั่วโมง

ปรับปรุงความเร็วเซิร์ฟเวอร์:

  • บีบอัด HTML/CSS ด้วย Brotli (เร็วกว่า Gzip 20%)
  • เปิดใช้งาน HTTP/2 เพื่อลด TTFB
  • เช่น เว็บข่าวแห่งหนึ่งลด TTFB จาก 1.8s เหลือ 0.3s แล้ว Index Rate เพิ่มขึ้น 47%

ตรวจ Schema Markup:

  • ใช้ Schema Validator เช็ก Error
  • จุดสำคัญ: ราคา/สต็อก (Offer), FAQ, HowTo

ทดสอบ Mobile Rendering:

  • ดูหน้าบนมือถือด้วย Googlebot-Mobile (Mobile-Friendly Test)
  • ตั้งค่า <meta name="viewport"> ให้เหมาะกับทุกขนาดหน้าจอ

▌ การซ่อมลึก: กลยุทธ์ระดับสูงของ JavaScript SEO

if (หน้าเว็บใช้เฟรมเวิร์กอย่าง React หรือ Vue) {  
  ① เปิดใช้ Dynamic Rendering: แยกคำขอของ crawler กับผู้ใช้ แล้วส่ง HTML ที่ prerender มาให้  
  ② ใช้ Hybrid Rendering: เส้นทางหลักเรนเดอร์แบบ static (โหมด SSG ของ Next.js/Nuxt.js)  
  ③ ฝัง data layer: แสดงข้อมูลหลักแบบ JSON-LD พร้อมกัน  
} else {  
  แก้ไขการสูญเสียสิทธิ์ของ internal link ก่อน (เช่น nofollow เยอะเกิน หรือ anchor ที่พาไป 404)  
}  

ระบบลิงก์ย้อนกลับ ยังขาดทั้ง “ธรรมชาติ” และ “ปริมาณ”

จริงๆ แล้วสาระสำคัญของ backlink คือการได้รับคะแนนเสียงจากโดเมนอื่น แต่ตอนนี้อัลกอริธึม SpamBrain ของ Google ฉลาดมาก จนแยกได้ว่าลิงก์นั้นมาจากคนสร้างหรือผู้ใช้แนะนำจริงๆ

จากข้อมูล: ถ้า anchor text ที่มีคีย์เวิร์ดตรงเกิน 25% เว็บนั้นมีโอกาสโดน Manual Action มากกว่าปกติถึง 3 เท่า และถ้าเว็บพึ่งพาลิงก์แบบเสียเงินมากเกินไป ก็จะเห็นว่าอัตราการเพิ่มลิงก์กับการสูญเสียทราฟฟิกนั้นสัมพันธ์กันชัดเจน (R² = 0.81)

ลิงก์ย้อนกลับที่ได้ผลต้องประกอบด้วย: ความหลากหลายของ anchor × ความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มา × จำนวน

ที่น่าสนใจคือ “ความเกี่ยวข้อง” หรือ “Domain Authority” ไม่ใช่ปัจจัยที่ Google ใช้ตัดสินว่าลิงก์คุณภาพดีหรือไม่

สูตรสมดุลทองคำของ anchor text (จากการวิเคราะห์ backlink 5 ล้านชุด)

ประเภทของ anchor text ช่วงสัดส่วนที่ปลอดภัย จุดเสี่ยงที่อาจโดนลงโทษ
ชื่อแบรนด์ / URL 30%-40% เกิน 50% เสี่ยงโดน Manual Action
คำทั่วไป (อย่าง Click Here) 5%-10% ต่ำกว่า 3% อาจถูกมองว่าไม่ธรรมชาติ
คีย์เวิร์ดยาวแบบคำถาม 25%-35% เกิน 40% อาจโดนมองว่า spam
คีย์เวิร์ดตรง 10%-15% เกิน 20% เสี่ยงสูง

ยังไม่รองรับ Mobile-First Index อย่างแท้จริง

แม้ Google จะใช้ Mobile-First Index มานานแล้ว แต่ยังมีเว็บไซต์ถึง 38% ที่เจอปัญหา“แค่ดูเหมือนรองรับมือถือ” จริงๆ แล้วกลับไม่ได้ถ่ายทอด ranking power จากเดสก์ท็อปอย่างเต็มที่

หลายเว็บแม้จะ responsive ก็จริง แต่ DOM เรนเดอร์ผิดลำดับบนมือถือ หรือการตอบสนองสัมผัสช้าเกิน 300 มิลลิวินาที ซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบกับอันดับแรงๆ

ยิ่งแย่กว่านั้นคือ ทุก 0.5 วินาทีที่ LCP บนมือถือช้าลง จะทำให้การมองเห็นบน Google ลดลงถึง 12%

เปรียบเทียบประสิทธิภาพของแต่ละกลยุทธ์

กลยุทธ์ LCP หน้าแรก อัตราการถูก index ต้นทุนการพัฒนา น้ำหนักคะแนน SEO
Responsive Design ≤2.1 วินาที 92% ★★☆☆☆ 0.9
Dynamic Rendering ≤1.8 วินาที 88% ★★★★☆ 0.7
AMP 2.0 ≤1.2 วินาที 100% ★★★☆☆ 1.2

คู่มือปรับแต่ง Responsive Design ให้เหมาะกับ SEO มือถือ

<!-- ค่าที่สำคัญในการเรนเดอร์มือถือ -->  
<meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0, maximum-scale=1.0, user-scalable=no">  
<!-- เพิ่มประสบการณ์สัมผัสที่ดีขึ้น -->  
<style>  
  button {  
    touch-action: manipulation;  /* ป้องกันการซูมจากการแตะ */  
    min-height: 48px;        /* เพิ่มพื้นที่สัมผัส */  
  }  
</style>  
<!-- รองรับภาพแบบ responsive บนมือถือ -->  
<img src="image.webp" loading="lazy" decoding="async"  
     srcset="image-480w.webp 480w, image-800w.webp 800w"  
     sizes="(max-width: 600px) 480px, 800px">

คู่มือใช้งาน AMP 2.0 อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อไหร่ที่ควรใช้ AMP?:

  • เว็บข่าวที่ต้องการติดอันดับ Top Stories
  • บริการท้องถิ่นที่ต้องการความเร็ว เช่น ร้านอาหารหรือคลินิกฉุกเฉิน

ข้อควรระวังเวลาใช้ AMP:

  • อย่าใช้ amp-analytics มากเกิน เพราะทำให้เว็บช้า
  • ใช้ Signed Exchanges (SXG) เพื่อแก้ปัญหา ownership ของ AMP URL

เช็คลิสต์สุขภาพ Mobile Index

จุดสำคัญที่ต้องตรวจ:

  • ข้อผิดพลาดด้านการใช้งานมือถือ (ไปที่ Google Search Console > Mobile Usability)
  • ความเหมือนของเนื้อหาระหว่าง mobile กับ desktop ต้องเกิน 95% (ใช้ Copyscape mobile ตรวจ)
  • JS บน first view ต้องโหลดใน ≤1.5 วินาที (ตรวจด้วย Chrome DevTools)

ความเสี่ยงที่มักพลาด:

  • มี popup บนมือถือที่บังเนื้อหามากกว่า 30%
  • ไม่ได้ตั้งค่า <meta name="theme-color"> ทำให้สี address bar ไม่เข้ากับเว็บ

ท้ายที่สุดแล้ว SEO สาย Google คือเรื่องของ“ความเข้าใจในปัญหาของผู้ใช้” ยิ่งลึกเท่าไหร่ ยิ่งชนะ

อัลกอริธึมของ Google มีแกนกลางคือ“ใครช่วยแก้ปัญหาของผู้ใช้ได้ดีที่สุด” ถ้าเพจคุณเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในหมวดนั้น อันดับดีมาแน่นอน

Picture of Don Jiang
Don Jiang

SEO本质是资源竞争,为搜索引擎用户提供实用性价值,关注我,带您上顶楼看透谷歌排名的底层算法。

最新解读