Search Console รายงานว่าเป็น “หน้าดี” แต่ไม่มีทราฟฟิก|ช่องโหว่ในระบบการให้คะแนนภายในของ Google

本文作者:Don jiang

คุณเคยเจอไหมว่า ใน Google Search Console หน้าของคุณถูกระบุว่าเป็น “หน้าดี” แต่กลับไม่มีทราฟฟิก หรือแทบไม่มีคนเข้าเลย?

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เว็บไซต์จำนวนมากมีเนื้อหาที่ “ผ่านมาตรฐานทางเทคนิค” แต่กลับไม่สามารถเข้าถึงผู้ใช้จริงได้

ปัญหาหลักอยู่ที่: ระบบการให้คะแนนของ Google ให้ความสำคัญกับ “ความถูกต้องทางเทคนิคพื้นฐาน” (เช่น การถูก crawl ได้ ไม่มีการขาดหายของแท็กหัวเรื่อง)

แต่กลไกการจัดอันดับทราฟฟิกพึ่งพาพฤติกรรมผู้ใช้ และความสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้คนค้นหา

ถ้าเนื้อหาของคุณมีแต่โครงสร้าง HTML ที่ถูกต้อง แต่ขาดคุณค่าในเชิงสถานการณ์ เช่น คู่มือ “วิธีแก้ไขข้อผิดพลาด XX” ที่พูดแค่ทฤษฎี ไม่มีโค้ดตัวอย่างหรือภาพประกอบ ระบบอาจมองว่า “คุณภาพดี” แต่ผู้ใช้กลับออกจากหน้าเร็ว ส่งผลให้การจัดอันดับตกลง

รายงาน Search Console ระบุว่า 'หน้าดี' แต่ไม่มีทราฟฟิก

Table of Contens

เกณฑ์การให้คะแนน “หน้าดี” ของ Google ตรวจอะไรบ้าง?

การที่หน้าเว็บของคุณถูก Google ให้ป้ายว่า “หน้าดี” มักหมายความแค่ว่าผ่านเกณฑ์ทางเทคนิคขั้นต่ำ เช่น สามารถถูก bot เข้าถึง ไม่มีลิงก์เสีย มีแท็ก title ครบ

แต่เกณฑ์นี้เหมือนเป็นแค่ “รายงานสุขภาพเบื้องต้น” ที่บอกว่า “ไม่มีปัญหาร้ายแรง” แต่ไม่ได้วัดว่าเนื้อหานั้นแก้ปัญหาจริงของผู้ใช้ได้หรือเปล่า

มาตรฐานด้านเทคนิค: เส้นผ่านขั้นต่ำในสายตา Google Bot

  • การ crawl ได้: ไม่มีการบล็อกจาก robots.txt, server ตอบสนองภายใน 3 วินาที (ถ้าช้าเกิน จะถูกลดคะแนน);
  • โครงสร้างข้อมูลพื้นฐาน: มี Schema หรือ Article markup ครบถ้วนแบบพื้นฐาน (แม้ไม่มีราคา/สต๊อกในหน้าสินค้า ก็อาจผ่านได้);
  • สุขภาพของหน้าเว็บ: ไม่มี 404 error, รองรับมือถือ (แค่เช็คการปรับขนาด viewport ไม่ได้ดูว่าใช้งานลื่นหรือไม่);

เกณฑ์ให้คะแนนเนื้อหา

  1. ความยาวของข้อความ: มีมากกว่า 1,500 คำจะถือว่า “ข้อมูลเยอะ” (แม้จะซ้ำๆ หรือเนื้อหาไม่ลึก);
  2. คำค้นแบบหยาบ: มีคำเป้าหมายอยู่ในชื่อเรื่อง หรือ 100 คำแรก ถือว่า “ครอบคลุม” (ไม่ดูเจตนาหรือความหมายที่แท้จริง);
  3. การตรวจเนื้อหาซ้ำ: แค่เนื้อหาคล้ายกันไม่เกิน 70% กับในเว็บอื่นๆ ก็ถือว่าไม่ซ้ำ (มีการปรับถ้อยคำก็หลุดได้);

ช่องโหว่ที่ซ่อนอยู่: คะแนนเทคนิค > คุณค่าต่อผู้ใช้

ตัวอย่าง: บทความ “คู่มือดูแลแบตเตอรี่ iPhone” ความยาว 3,000 คำ มี HTML5 ครบ, ALT tag ภาพครบ แต่เนื้อหาแค่พูดซ้ำๆ ว่า “อย่าวางในที่ร้อน” ไม่มีคำแนะนำสำหรับแต่ละรุ่น หรือข้อมูลเปรียบเทียบจริง ผู้ใช้อยู่ในหน้าน้อยกว่า 15 วินาทีโดยเฉลี่ย

คำเตือน: บางหมวด เช่น เนื้อหาแพทย์ Google ยังใช้โมเดลการให้คะแนนแบบเทมเพลต เช่น แค่มีข้อมูลคุณวุฒิผู้เขียน ก็ถือว่า “เชื่อถือได้” โดยไม่ตรวจสอบความแม่นยำของเนื้อหา

เช็กลิสต์ 4 ข้อ สำหรับสาเหตุที่ทราฟฟิกไม่มา

หลุมพรางคำค้น: เลือกคำผิด

  • อาการ: คำค้นที่เลือกมีปริมาณการค้นหาต่ำมาก (SEMrush < 100/เดือน) หรือมีการแข่งขันสูงมาก (Ahrefs KD > 70) เช่น “หลักการของ Blockchain” เป็นคำที่เว็บใหญ่ผูกขาด โอกาสเว็บเล็กแทบไม่มี;
  • แนวทางแก้: หันไปใช้คำถามเฉพาะเจาะจง เช่น “Blockchain แก้ปัญหาความน่าเชื่อถืออย่างไร” ใช้ Google People Also Ask เพื่อดูคำถามจริงของผู้ใช้ ลดการแข่งขัน

เนื้อหาไม่มีน้ำ: ผ่านเกณฑ์แต่ไร้คุณค่า

  • ข้อบกพร่อง: บทความแบบ How-to มีแค่ขั้นตอนทั่วไป ไม่มีโค้ด ไม่มีเครื่องมือ เช่น “สอน Python Scraping” แต่ไม่มี template หรือวิธีป้องกันการโดนแบน;
  • วิธีตรวจสอบ: ใช้ Hotjar หรือ heatmap ดูว่าเนื้อหาสำคัญ (เช่น “วิธีแก้”) มีคนคลิกไหม ถ้าไม่ ให้เพิ่มตัวอย่าง หรือเครื่องมือประกอบ

หน้าถูกตัดขาด: ไม่มีการเชื่อมโยงใน/นอก

  • ปัญหาภายใน: ไม่มี internal link ไปบทความอื่น (เช่น “แนะนำเราเตอร์” ไม่ลิงก์ไป “วิธีเพิ่มสัญญาณ WiFi”) ผู้ใช้ออกทันที ไม่มีโอกาสอยู่นาน;
  • ปัญหาภายนอก: ไม่มีลิงก์จากเว็บอื่นเลย (ใช้ Ahrefs ตรวจ ถ้าคู่แข่งมี 50+ ลิงก์ภายนอก เราก็ควรใช้ guest post หรือแลกลิงก์ทรัพยากร);

พฤติกรรมผู้ใช้เป็นลบ: Google มองว่าไม่คุ้มค่า

  • วิธีตรวจ: ใน GA4 ถ้าค่าเฉลี่ยการอยู่ในหน้าน้อยกว่า 40 วินาที, Bounce rate มากกว่า 85% (ไม่นับคำค้นแบรนด์) แปลว่าเนื้อหาไม่ตรงกับความต้องการ;
  • แนวทางแก้: ใส่สาระสำคัญไว้ใน 3 หน้าจอแรก เช่น ปุ่ม “สรุปทางลัดใน 3 นาที” เพื่อให้คนเห็น value ทันที ลดการออกจากหน้า

ระบบการให้คะแนนของ Google vs ระบบการแจกจ่ายทราฟฟิก

จริงๆ แล้ว ระบบให้คะแนนเนื้อหากับระบบจัดอันดับทราฟฟิกของ Google เป็น 2 ระบบแยกกัน

เช่น หน้าเว็บอาจได้ “หน้าดี” เพราะไม่มีลิงก์เสีย, มี Schema ครบ แต่ระบบทราฟฟิกจะดู “พฤติกรรมผู้ใช้” เป็นหลัก เช่น คนออกเร็ว จัดอันดับก็จะตก

น้ำหนักเทคนิคสูงเกินไป: แค่โค้ดสวยก็ได้คะแนน

  • อาการ: หน้าเว็บมีโครงสร้าง HTML5 สมบูรณ์ มี ALT ภาพครบ ได้คะแนนดี แต่เนื้อหากลวง เช่น “หูฟังที่ดีที่สุดปี 2024” แค่ลิสต์ชื่อแบรนด์ ไม่มีข้อมูลเสียงจริงหรือเปรียบเทียบ;
  • กรณีศึกษา: เว็บไซต์ให้ข้อมูลทางการแพทย์แห่งหนึ่ง ใส่ข้อมูลผู้เขียนครบตาม EEAT แต่ไม่มีการอ้างอิงงานวิจัยใหม่ๆ คนค้น “ผลข้างเคียงยา XX” แล้วกดออกทันที อัตรา bounce เกิน 90% อันดับก็ร่วง;
  • ทางแก้: พัฒนาเทคนิคและเนื้อหาไปพร้อมกัน เช่น ใช้ ALT tag ที่มีคำในสถานการณ์จริง เช่น “ทดสอบฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนของหูฟังไร้สาย” แทนคำว่า “รูปหูฟัง”

ความคลาดเคลื่อนของความต้องการผู้ใช้: ระบบให้คะแนนไม่สามารถระบุสถานการณ์ความต้องการได้

  • กรณีขัดแย้ง: คำค้นหา “iPhone หน่วง” อาจหมายถึง “วิธีล้างแรม” หรือ “แนะนำรุ่นใหม่” แต่ระบบให้คะแนนตรวจแค่คำว่า “iPhone” กับ “หน่วง” อยู่หรือไม่ ในขณะที่อัลกอริทึมการจราจรดูจากอัตราคลิกหรือเวลาที่ผู้ใช้ใช้จริงเพื่อประเมินความต้องการที่แท้จริง;
  • ความต่างของข้อมูล: แม้ว่าหน้าเพจมีชื่อว่า “วิธีแก้ iPhone หน่วง” ซึ่งตรงกับคำค้นเป๊ะ แต่เนื้อหามีผลแค่กับ iOS 14 (ไม่ได้ระบุว่าไม่รองรับ iOS 16) ทำให้ผู้ใช้ iOS 16 เด้งออกเยอะมาก ส่งผลให้ทราฟฟิกลดลง 72% ภายใน 7 วัน;
  • แนวทางแก้ไข: ใช้ผลลัพธ์ TOP 5 จาก Google มาช่วยวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ (เช่น หัวข้อจากคู่แข่งมีคำว่า “เวอร์ชัน 2023” หรือ “รองรับ iOS 16”) แล้วเพิ่มเงื่อนไขหรือข้อจำกัดให้ชัดเจนบนหน้าเพจของเรา

ช่องโหว่ของ EEAT: การแสดงคุณวุฒิ ≠ ความเชี่ยวชาญจริง

  • ข้อบกพร่องของกฎ: ระบบให้คะแนนดูแค่การระบุวุฒิ เช่น “เขียนโดยแพทย์” แต่ไม่ตรวจว่าข้อมูลล้าสมัย (แนะนำยาที่เลิกขายแล้ว) หรือมีความขัดแย้งกันในเนื้อหา (เช่น บอกให้ดื่มน้ำมาก กับจำกัดการดื่มน้ำในบทความเดียวกัน);
  • กรณีถูกลงโทษจากทราฟฟิก: บทความโภชนาการระบุว่าเขียนโดยผู้มีประสบการณ์ 10 ปี แต่ไม่ได้แจ้งว่า “ห้ามใช้กับผู้ป่วยความดันสูง” ทำให้มีรีวิวแย่จำนวนมาก ทราฟฟิกจากการค้นหาลดลง 48% ภายใน 3 สัปดาห์;
  • ลำดับความสำคัญในการปรับปรุง: เพิ่ม “วันที่อัปเดตล่าสุด” และ “ลิงก์แหล่งอ้างอิง” ในส่วนแนะนำผู้เขียน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ช่วยให้อัลกอริทึมประเมินเนื้อหาเป็นประโยชน์มากขึ้น

ใช้ช่องโหว่ของระบบให้คะแนนเพื่อดึงทราฟฟิก

เช่น บทความ “แนะนำการเลือกหม้อทอดไร้น้ำมัน” ถ้ามีแค่สเปกทางเทคนิค (เช่น กำลังไฟ ความจุ) อาจผ่านระบบให้คะแนนได้ แต่ไม่ได้ทราฟฟิกเลย

แต่ถ้าใส่การแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอจริง (เช่น “เปรียบเทียบควันจริง” “แนะนำรุ่นที่เหมาะกับครอบครัว 6 คน”) จะช่วยให้ทั้งผ่านคะแนนและตรงใจผู้ค้นหา

รีเซ็ตกลยุทธ์คีย์เวิร์ด: เลี่ยงคำฮิต ไปเน้นคำเฉพาะที่มีความต้องการชัดเจน

  • เจาะคีย์เวิร์ดแบบคำถาม: ใช้ SurferSEO ดึงคำที่คนถามจริง เช่น “ทำไม XX ถึงไม่ทำงาน” “วิธีแก้ XX error” คำพวกนี้แข่งน้อย แต่มีความต้องการชัดเจน (แนะนำเครื่องมือ: AnswerThePublic);
  • วิเคราะห์คู่แข่งกลับด้าน: ใช้ Ahrefs เช็กลิงก์เข้า TOP3 เพจ + วิเคราะห์โครงสร้างเนื้อหาด้วย Clearscope แล้วหาช่องว่างที่คู่แข่งไม่มี (เช่น “รายการสิ่งที่ไม่ควรทำ”) แล้วเติมลงไป

เทคนิครีไรต์เนื้อหา: ปรับรูปแบบให้ได้คะแนนดีขึ้น

ใส่สัญญาณสร้างความน่าเชื่อถือให้ผู้ใช้:

  • ใส่คำรีวิวจริงจากผู้ใช้ อย่างน้อย 2 รายการ (เช่น “@JohnDoe: ทำตามบทความนี้แล้วแก้ error ได้เลย” พร้อมระบุเวลา);
  • เพิ่ม “บันทึกการทดลองของผู้เขียน” (เช่น “ใช้เวลาทำจริง 3 ชั่วโมง พร้อมรายการอุปกรณ์ที่ใช้”) เพื่อเน้นมิติของ “ประสบการณ์จริง” ตามหลัก EEAT;

ฝังเครื่องมือแบบอินเทอร์แอคทีฟ:

  1. เพิ่มไฟล์ PDF สำหรับดาวน์โหลด ในบทความสอนใช้งาน (ใช้ ScribbleText สร้างเทมเพลต) เพื่อเพิ่มเวลาในการอยู่หน้าเพจ;
  2. ในหน้าแนะนำอุปกรณ์ ใส่ปลั๊กอินเปรียบเทียบราคาสด (เช่น Prisync) → เพิ่มเวลาอยู่เฉลี่ย 90 วินาที;

ทริกด้านเทคนิคที่ได้ผลสูงแต่ต้นทุนต่ำ

ปรับแท็ก ALT ของภาพให้มีความหมาย: ใช้คำที่เกี่ยวข้องทางความหมาย (LSI) แทนการยัดคำหลัก เช่น “กราฟทดสอบแบตเตอรี่ AirPods Pro” ดีกว่า “รูป AirPods Pro”

ปรับปรุงประสบการณ์บนมือถือ:

  1. ขยายพื้นที่กดปุ่มให้พอดี ไม่ให้เผลอแตะผิด (วิเคราะห์ด้วย Hotjar heatmap);
  2. เร่งความเร็วโหลดหน้าจอแรกให้ต่ำกว่า 1.5 วินาที (ใช้ภาพ WebP + โหลดแบบ Lazy Load) เครื่องมือแนะนำ: ShortPixel;

จากวันนี้ไป อย่าเชื่อมั่นแค่คะแนนจากระบบ แต่ให้ยึดข้อมูลการใช้งานจริงของผู้ใช้เป็นแนวทางปรับปรุง

Picture of Don Jiang
Don Jiang

SEO本质是资源竞争,为搜索引擎用户提供实用性价值,关注我,带您上顶楼看透谷歌排名的底层算法。

最新解读
滚动至顶部